armGK, Author at Geekcon Valley

How to ใช้ Data Intelligence อย่างไรเพื่อทำ SEO ให้ติด AI Overview 2025

Data Intelligence คืออะไร เพื่อทำ SEO ให้ติด AI Overview 2025

การทำ SEO ในปี 2025 ไม่ได้มีเพียงแค่การใส่คีย์เวิร์ดหรือการสร้าง Backlink เท่านั้น เพราะ Google ได้พัฒนา AI Overview หรือระบบที่สรุปคำตอบโดยอัตโนมัติ แล้วเลือกหยิบข้อมูลจากเว็บไซต์ไปแสดงโดยตรง

ผู้ที่อยากให้เว็บไซต์ของตัวเองถูกเลือกไปแสดงผลจำเป็นที่จะต้องมีความรู้เชิงลึก และเทคนิคการทำ SEO ที่ไม่ใช่แค่พื้นฐาน และต้องรู้จักการทำ GEO (Generative Engine Optimization) และนำ Data Intelligence เข้ามาช่วยถึงจะเห็นผลลัพธ์ได้ดียิ่งขึ้น

แล้ว Data Intelligence ที่ว่ามันคืออะไร และมันทำงานร่วมกับ SEO ได้อย่างไรบ้าง เรามาทำความรู้จักกับเครื่องมือตัวนี้กัน

ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ Data Intelligence คือการเอาข้อมูลที่เรามีอยู่มากมายมาวิเคราะห์ แล้วแปลงเป็น “ความเข้าใจ” เพื่อใช้ในการตัดสินใจที่แม่นยำมากขึ้น

ยกตัวอย่างง่ายๆ ของการใช้ Data Intelligence ที่เกี่ยวข้องกับ SEO

การนำ Data Intelligence มาใช้งานร่วมกับการทำ GEO สามารถทำได้ดังนี้

  1. ค้นหา Intent ที่แท้จริงของผู้ใช้ >ไม่ใช่แค่รู้ว่าคนค้นคำว่า “SEO 2025” แต่ต้องรู้ว่าเขาอยากได้ คู่มือ, Checklist หรือบทวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อที่เราจะนำข้อมูลมาตอบโจทย์ของผู้ค้นหาได้
  2. เข้าใจว่าคอนเทนต์แบบไหนที่ AI ชอบดึงไปใช้ >AI มักจะเลือกเนื้อหาที่สั้น กระชับ มี FAQ หรือ Bullet Point เป็นต้นฯ
  3. วิเคราะห์คู่แข่งที่ติด AI Overviewด้วย Competitive Analysis >ดูว่าเพราะอะไรทำไมคู่แข่งได้พื้นที่ตรงนี้ เช่น มีการใช้ Schema, ใส่ตาราง, อ้างอิงข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ซึ่งพวกนนี้ก็มีโอกาสที่ Google จะดึงไปติด AI Overview ด้วยเหมือนกัน

เรามีตัวอย่างง่ายๆ ในการนำ Data Intelligence มาปรับใช้กับการสร้างเนื้อหาดังนี้

  1. Keyword Research > สร้าง Topic Cluster โดยทั่วไปแล้วเวลาที่เราจะสร้างเนื้อหา SEO ก็จะเลือกใช้ 1 คีย์เวิร์ดหลักต่อ 1 บทความ แต่แทนที่จะเขียนบทความเดี่ยวๆ ให้ทำเป็นกลุ่มเนื้อหา (Cluster) ที่ครอบคลุมหัวข้อใหญ่จะมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะเหมือนเป็นการเก็บคีย์เวิร์ดกลุ่มนี้เอาไว้นั่นเอง
  2. จัดโครงสร้าง Content > Bullet, FAQ, Schema เนื้อหาที่ AI Overview เลือกมักจะอยู่ในรูปแบบคำถาม-คำตอบ, step-by-step หรือ list ดังนั้นตอนที่เราสร้างเนื้อหาควรคำนึงถึงการแบ่งหัวข้อที่ชัดเจนด้วย
  3. ใช้ข้อมูลจริง/สถิติ > เสริม E-E-A-T ใส่ข้อมูลอ้างอิงที่เป็นความจริงหรือ Case Study จริง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เนื้อหา

แถม Checklist ง่ายๆ ที่จะช่วยให้เพื่อนๆ ไม่พลาดในการทำ GEO+Data intelligence เอาไปปรับใช้กันได้เลย

☑ วิเคราะห์ Search Intent ด้วย Data Tools

☑ ทำ Topic Cluster และ Internal Link ให้ครบ

☑ ใส่ FAQ / Q&A / Schema ลงในบทความ

☑ ใช้ Bullet / Table / Infographic เพื่อให้อ่านง่าย

☑ ใส่ข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ

☑ อัปเดตเนื้อหาเก่าอย่างน้อยทุก 6 เดือน

☑ ตรวจสอบ Technical SEO (Core Web Vitals, Mobile Friendly)

ส่งท้าย: ในปี 2025 การทำ SEO ให้ได้ผลลัพธ์ต้องผสานทั้ง GEO (Generative Engine Optimization) และ Data Intelligence เพื่อให้เว็บไซต์ของเรากลายเป็นแหล่งข้อมูลที่ AI เลือกไปแสดงบน Overview

การใช้ Data Intelligence มาวิเคราะห์ข้อมูลจะสามารถสร้างความได้เปรียบทั้งในแง่การติดอันดับ และการเป็นตัวเลือกแรกของ AI ได้ลึกยิ่งขึ้น หากสนใจเรื่องนี้ที่ Geekcon Valley เรามีบริการ Data Intelligence วิเคราะห์อย่างผู้เชี่ยวชาญ เจาะลึกการตลาดให้เหนือกว่าคู่แข่ง สอบถามรายละเอียดได้ที่นี่

Generative Engine Optimization (GEO) คืออะไร? เคล็ดลับทำให้เว็บติด AI Search ปี 2025

เมื่อการทำ SEO กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากการมาของ AI Search Engines ไม่ว่าจะเป็น Google SGE (Search Generative Experience), Perplexity AI, หรือแม้แต่ ChatGPT Search ที่เริ่มกลายเป็นช่องทางใหม่ในการค้นหาข้อมูล

และนี่เองจึงทำให้เกิดแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Generative Engine Optimization (GEO) ซึ่งเป็นวิธีการปรับแต่งคอนเทนต์ให้เหมาะกับ AI Generative Engines ไม่ใช่แค่ Google SERPs แบบเดิมอีกต่อไป จะมีเรื่องอะไรที่สำคัญบ้างไปดูพร้อมกันเลย

Generative Engine Optimization (GEO) คือการออกแบบและปรับแต่งเนื้อหาให้ AI สามารถเลือกและนำไปใช้เป็นแหล่งข้อมูล ในการสร้างคำตอบให้กับผู้ค้นหาที่ถูกต้องและแม่นยำมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ซึ่งต่างจาก SEO แบบดั้งเดิมที่โฟกัสแค่การ “ติดอันดับ” ในหน้าผลการค้นหา (SERPs) เป็นหลัก แต่ GEO จะเน้นไปที่ “ทำอย่างไรให้ AI มองว่าเนื้อหาของเรามีความน่าเชื่อถือ และเหมาะสมในการถูกอ้างอิง”

  1. พฤติกรรมผู้ใช้งานที่เปลี่ยนไป
    ในปัจจุบันผู้คนเริ่ม “ถาม” มากกว่า “ค้นหา” อย่างเช่น “มือถือรุ่นไหนดีในงบ 10,000” แทนที่จะเสิร์ชเป็น keyword สั้น ๆ อย่าง “มือถือราคา 10,000” บริบทของคำอาจดูคล้ายกัน แต่การเสริชจ์นั้นต่างกัน
  2. Zero-click content เพิ่มขึ้น
    ในปัจจุบันข้อมูลจำนวนมากถูกสรุปอยู่ใน AI Overview หรือคำตอบที่ Generative AI สร้าง ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ และสามารถได้รับคำตอบในสิ่งที่ค้นหาได้ทันที
  3. การสร้าง Trust สำคัญกว่า Ranking
    ต่อให้เว็ปไซต์ของคุณไม่ได้อยู่อันดับ 1 บน Google แต่ถ้า AI เลือกอ้างอิงหน้าเว็ปคุณ คุณก็จะได้ Traffic, Branding และ Authority ซึ่งนับว่ามีความสำคัญกว่ามากในระยะยาว

หลังจากที่เราทราบถึงความสำคัญเกี่ยวกับ GEO แล้วนั้น เราจะมีวิธีใดบ้างในการปรับแต่งเว็ปไซต์หรือเนื้อหาแบบไหนที่เราควรทำเพื่อรองรับ GEO ได้ดีที่สุด โดย Geekcon Valley จะมาบอกเคล็ดลับดังต่อไปนี้ให้

  1. ทำเนื้อหา FAQ/Q&A
    เพิ่มเนื้อหาเชิง FAQ/Q&A บ้างเพราะว่า AI ชอบอะไรที่มีการสรุป เนื้อหากระชับ มีความถูกต้อง และตรงประเด็นมากที่สุด
  2. ใช้ E-E-A-T ให้ชัดเจน
    Google พยายามเน้นย้ำเรื่องของการทำคอนเทนต์ที่ให้ความสำคัญของ Experience , Expertise , Authoritativeness , Trustworthiness (E-E-A-T) โดยจะต้องมีเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อผู้อ่าน มีความน่าเชื่อถือได้ ผู้เขียนต้องมีความเชี่ยวชาญของเนื้อหาที่เขียน
  3. ใช้ Structure Data (Schema.org)
    ทำให้เนื้อหาโดดเด่นและมีความสำคัญต่อ Google มากขึ้นด้วยการใช้ Schema Markup เป็นการจัดประเภทของเนื้อหา และความสำคัญ อย่างการทำ Snippet , FAQ , Reviews หรือ Author เป็นต้นฯ
  4. เนื้อหาใหม่ๆ
    คอนเทนต์หรือบทความบนเว็ปไซต์ของเราควรจะมีการอัปเดตให้มีความสดใหม่เท่าที่จะทำได้อยู๋เสมอ เพื่อที่จะทำให้ AI เข้าใจว่าเนื้อหาเรามีคุณภาพและเป็นข้อมูลล่าสุดนั่นเอง
  5. สร้างรีวิวจริงใจ
    อีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราเป็นที่สนใจของ AI ได้ก็คือการทำรีวิวที่จริงใจ หรือการทำ Case Study , Research , Survey เพราะมันเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้จริง

ส่งท้าย : การทำ GEO นั้นไม่ได้มาแทนการทำ SEO แต่เป็นการทำงานในขั้นตอนต่อไปเพื่อรองรับกับการมาของ AI ใหม่ๆ เพราะหาเรายังใช้วิธีการทำงาน SEO แบบเดิมๆ ก็ยากที่จะได้ผลลัพธ์ที่เพียงพอในการแข่งขัน ณ ปัจจุบัน

แต่ว่า! การทำ SEO หรือ GEO ถ้าเราไม่มีความชำนาญ หรือความเข้าใจที่เพียงพอก็ยากที่จะได้ผลสำเร็จได้ ถ้าอย่างนั้นก็มาใช้บริการกับเราสิ เพราะที่ Geekcon Valley เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นบริการทำ SEO ที่เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน และมีประสิทธิภาพ หรือจะบริการทำ SEM ได้ผลคุ้มค่าในระยะเวลาอันสั้น เรามีผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้บริการและคำปรึกษา เจาะลึกด้วยเครื่องมือเฉพาะทางที่ไม่เหมือนใคร ตอบโจทย์ทุกโซลูชั่น สอบถามรายละเอียดได้ที่นี่

SXO คืออะไร? ต่างจาก SEO ยังไง สำคัญแค่ไหนในปี 2025

ในโลกของการทำการตลาดออนไลน์ การทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้กันมานานหลายปี แต่เมื่อพฤติกรรมของผู้ใช้เปลี่ยนไป เทคโนโลยีของ Google ก็ต้องปรับเปลี่ยนตามอย่างเช่นการมาของ AI Overview หรือล่าสุดเทคโนโลยี MUVERA , GFM ที่ช่วยคัดกรองคำตอบได้ถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการทำ SEO แบบเดิมๆ อาจไม่เพียงพอในปัจจุบัน

เมื่อ SEO แบบเดิมเริ่มไม่ส่งผลลัพธ์ที่เพียงพอจึงเกิดแนวคิดในการทำ SEO ขึ้นมาใหม่โดยมีชื่อว่า “SXO” โดยในวันนี้ Geekcon Valley จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับแนวดคิดการทำ SXO แบบใหม่ที่จะมาช่วยทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคงกันค่ะ

SXO (Search Experience Optimization) เป็นกลยุทธ์รูปแบบใหม่ที่นำ SEO มาผสานเข้ากับประสบการณ์ของผู้ใช้ User Experience (UX) เพื่อเป็นการสร้าง “การมองเห็น” และ “ประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้” ซึ่งไม่เพียงแค่ทำให้เว็ปไซต์ของคุณติดหน้าแรกบน Google เท่านั้น แต่ยังสามารถเปลี่ยนจากผู้เข้าชม>เป็นลูกค้าจริงได้ หรืออธิบายให้เข้าใจแบบง่ายๆ คือ”ถ้าทำ SEO จะเจอเว็ปไซต์คุณ แต่ถ้าทำ SXO จะทำให้คุณได้ลูกค้า”

การทำ SXO คือการปรับปรุงเว็ปไซต์ทั้งหมด เช่น โครงสร้างเว็ปไซต์, ความเร็ว, ความเข้าใจเข้าถึงง่าย และคุณภาพของเนื้อหา เพื่อทำให้ผู้ใช้ได้รับคำตอบ หรือสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ถูกต้องและดีที่สุด

ข้อเปรียบเทียบSEOSXO
ป้าหมายหลักทำให้ติดอันดับ , เพิ่ม Trafficเพิ่ม Conversion , สร้างความพึงพอใจให้ผู้ใช้
MetricsRankings , CTR%Bounce Rate, Time on Page, Conversion Rate
ทำงานโดยKeywords , On-page , BacklinksUX/UI, Page Speed, Content Experience
ผลลัพธ์ที่จะได้ได้ผู้เข้าชม (Visitors) , Rankingsได้ลูกค้า (Loyal Customers)

“SEO อาจทำให้คุณได้อันดับที่ 1 แต่ถ้า UX แย่ ผู้ใช้ก็จะออกทันที ดังนั้น SXO จึงเป็น “ขั้นต่อไป” ของการทำตลาดออนไลน์Neil Patel

การทำ SXO มีองค์ประกอบที่สำคัญๆ ดังต่อไปนี้

  1. User Intents & High Quality Contents
    เว็ปไซต์จำเป็นต้องตอบโจทย์ในสิ่งที่ผู้ใช้ค้นหา ไม่ใช้เพียงแค่การใส่คีย์เวิร์ดลงไปเท่านั้น แต่เนื้อหาจะต้องตรงประเด็น กระชับ มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้ และต้องมาจากข้อมูลจริง ไม่ใช้หลักการเขียนที่ดูเอนเอียงไม่เป็นธรรมทางใดทางหนึ่ง
  2. UX/UI , SIte Speed
    เว็ปไซต์ต้องมีความเร็ว (โหลดเร็ว , เข้าถึงหน้าต่างๆ ได้ไว) ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อนจนเกินไป และต้องรองรับ Mobile-Friendly ด้วย เพราะในปัจจุบันกว่า 60% พฤติกรรมของผู้ใช้มักจะค้นหาข้อมูลผ่านมือถือมากกว่า Desktop
  3. Engagement Metrics
    ระยะเวลาที่ผู้ใช้อยู่ภายในหน้าเว็ปไซต์
    Bounce Rate ต่ำ (ถ้าสูงไปไม่ดี)
    Conversion Rate (เปลี่ยจากแค่ผู้ชมเป็นลูกค้า)
  4. Personalization & AI
    การใช้ AI ต่างๆ เพื่อทำให้ข้อมูลเป็นส่วนตัวมากขึ้น อย่างเช่นการสร้างเนื้อหาที่ตรงกับพฤติกรรมของผู้ใช้

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการทำ SXO เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้และ Google ได้มากที่สุด

การทำ SXO จะเป็นการปรับ SEO + UX ร่วมด้วยกันทั้งการปรับ Meta Tags (Title, Description) การเลือกใช้ Keywords หลัก แล้วเสริมด้วย Long-tail Keyword ที่เกี่ยวข้องก็จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีได้

ปรับปรุง Page speed และ Mobile Optimization ให้รวดเร็วเข้าถึงง่าย และรองรับบนมือถือจะช่วยให้เกิดประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้ได้มากขึ้น โดยทาง Google ก็เคยบอกไว้ว่าเว็ปไซต์ที่โหลดช้าก็จะสูญเสียอันดับและทราฟฟิกไปค่อนข้างสูง

ทำ A/B Testing เช่นการจัดวางปุ่ม CTA การออกแบบสีสันที่เหมาะสม หรือการจัดวาง Layout เพื่อทดสอบว่าผู้ชมสนใจส่วนไหนมากที่สุด แล้วนำมาใช้กับเว็ปไซต์ตัวเอง

เพราะอะไรเราถึงควรให้ความสำคัญกับการทำ SXO ในปี 2025

ส่งท้าย: ในปัจจุบันการทำ SEO เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ SXO จึงเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่จะเข้ามาช่วยทำให้ SEO มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะมันจะไม่เพียงแค่ทำอันดับเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้ใช้พึงพอใจ อยู่ภายในเว็ปไซต์นาน และเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนเป็นลูกค้าได้มากขึ้นด้วย

Muvera & GFM คืออะไร? ส่งผลต่อ SEO อย่างไร

ในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฏาคมที่ผ่านมา Google ได้มีการปล่อย Core Update ครั้งใหญ่ออกมาซึ่งการปล่อยอัปเดตครั้งนี้ทำให้หลายๆ เว็ปไซต์มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของอันดับผลการค้นหาเป็นอย่างมาก โดยการอัปเดตครั้งนี้คือการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่สองตัวได้แก่ Muvera และ GFM ซึ่งจะมีรายละเอียดอะไรบ้าง และที่สำคัญการมาของเทคโนโลยีใหม่สองตัวนี้จะส่งผลกระทบต่อ SEO อย่างไรบ้างไปหาคำตอบกัน

Muvera ย่อมาจาก “Multi-Vector Retrieval Architecture” เป็นระบบใหม่ล่าสุดที่พัฒนาโดย Google เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาของการค้นหาข้อมูลแบบเดิม ให้มีความถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็วมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้สามารถได้คำตอบในสิ่งที่ต้องการได้ตรงมากขึ้น การทำงานของ Muvera ที่น่าสนใจมีดังต่อไปนี้

ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ Google จะดึงหน้าเว็ปไซต์เพื่อนำมาวิเคราะห์ลดลงประมาณ 5-20 เท่า เป็นการลดภาระในการคัดกรองหน้าเว็ปไซต์ที่มีอยู่ค่อนข้างมาก แต่ยังคงคุณภาพในการคัดกรองเหมือนเดิม (อ้างอิงจาก leadtap.ai) ตัวของ Google เองสามารถเข้าใจคำที่มีความซับซ้อน หรือคำที่มีการตีความหมายที่หลากหลายได้ดีขึ้น

GFM ย่อมาจาก “Graph Foundation Model” เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการประมวลผลในรูปแบบเชิงกราฟยกตัวอย่างเช่น ความเชื่อมโยงโครงสร้างระหว่างเว็ปไซต์ , โครางสร้างของลิงก์ , ความสัมพันธ์กันระหว่างผู้เขียนกับแหล่งอ้างอิง

โดย GFM มีความสามารถที่น่าสนใจดังนี้

การมาของเทคโนโลยี Muvera กับ GFM จะมีผลกระทบกับการทำ SEO ในปัจจุบันอย่างไรบ้าง เราแบ่งออกเป็นหัวข้อสำคัญดังต่อไปนี้

ผลกระทบของ Muvera

ผลกระทบของ GFM

มาถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายๆ คนที่ทำ SEO คงอยากรู้ว่าเราจะสามารถปรับตัวรับมือกับการมาของ Muvera และ GFM ได้อย่างไรกันบ้าง เรามีข้อสรุปแนวทางที่น่าสนใจมาฝากกันดังนี้

  1. เขียนเนื้อหาเชิงลึก
    – ตอบโจทย์ผู้ใช้หลายๆ มิติ
    – เนื้อหาต้องครอบคลุมคำถามหลัก และคำถามรองให้ได้มากที่สุด
  2. จัดโครงสร้างเนื้อหา
    – แบ่งแยกบทความออกเป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจน
    – จัดระเบียบบทความ เพื่อให้ Google เข้าใจได้ง่ายขึ้น
  3. เพิ่ม Schema Markup
    – เพิ่มการใช้ Schema Markup เช่น (Article , FAQ , Autor) เพื่อให้ Google เข้าใจ Categories ได้ง่ายขึ้น
    – GFM จะสามารถเข้าใจความเชื่อมโยงของเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น
  4. Trust Signal
    – ควรมีแหล่งอ้างอิงที่มีความน่าเขื่อถือได้ จะช่วยให้ Google มองว่าเนื้อหาของเรามีคุณภาพมากขึ้น
    – ควรใส่ Profile ของผู้เขียน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
    – เพิ่ม Social Signal

ส่งท้าย

การอัปเดต Core Update 2025 Muvera & GFM ถือได้ว่าเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่และส่งผลกระทบกับ SEO เพราะ Google กำลังเปลี่ยนจากการเพียงแค่ “ดูคีย์เวิร์ด” มาเป็นการเรียนรู้และเข้าใจถึง Intent ของผู้ค้นหารวมถึงความน่าเชื่อถือของเนื้อหา ที่ถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว เพื่อเป็นการมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

Sitemap คืออะไร จำเป็นต้องมีหรือไม่?

Sitemap คืออะไร จำเป็นต้องมีหรือไม่?

ในการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรละเลยคือการทำ Sitemap! แล้วมันคืออะไร ถ้าหากไม่ทำจะเป็นอย่างไร วันนี้ที่ Geekcon Valley เรารวมคำตอบไว้ให้แล้ว

Sitemap เปรียบเสมือนแผนผังโครงสร้างของเว็ปไซต์ว่ามีหน้าเพจไหนบ้างบนเว็ป และยังช่วยทำให้ผู้ค้นหา กับ Search Engine เข้าถึงหน้าต่างๆได้ง่ายอีกด้วย

โดยทั่วไปแล้ว Sitemap สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบคือ 1. HTML และ 2.XML โดย

ขั้นตอนการทำงานในเบื้องต้นของ Sitemap จะทำโดยการแจ้งหน้า Url ทั้งหมดที่มีในเว็ปไซต์ของเราส่งไปยัง Robot Search Engine เพื่อให้ Bot วิ่งเข้ามาเก็บข้อมูลนั่นเอง

องค์ประกอบของ Sitemap ที่ดีประกอบด้วย 3 ส่วนหลักดังต่อไปนี้

นอกจากนี้ก็ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ เสริมด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้ Search Engine ได้เข้าใจถึงเว็ปไซต์ของเรามากยิ่งขึ้น อย่างเช่น

ตัวอย่างของ Sitemap.xml

ในปัจจุบันถึงแม้ว่าการเก็บข้อมูล (Crawl) ของ Search Engine จะทำได้ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน รวมถึงการทำดัชนี (Index) แต่การมี Sitemap.xml ที่ดีก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ เพราะจะยิ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ Google เข้าใจและจัดเก็บข้อมูลได้ดียิ่งขึ้นซึ่งก็มีข้อดีดังต่อไปนี้

หากไม่มี Sitemap ตัวของ Bot ก็อาจจะใช้เวลานานกว่าปกติในการค้นพบเว็ปไซต์คุณ ซึ่งส่งผลให้เว็ปไซต์คุณนั้นใช้เวลานานกว่าจะแสดงในหน้าของ Google รวมถึงส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานที่อาจจะหาหน้าที่ต้องการไม่เจอ

การมี Sitemap.xml ที่ดีก็มีส่วนช่วยในเรื่องของการทำ SEO ได้ดังต่อไปนี้

สรุป ถึงแม้ว่า Google จะมีความฉลาดมากขึ้นเพียงใด แต่ Sitemap.xml ก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ดีเพื่อช่วยให้การทำ SEO เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับบน Search Google อีกด้วย แนะนำให้ทำทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นเว็ปไซต์แบบไหนเพื่อช่วยให้เว็ปไซต์ของเราดูดี มีคุณภาพทั้งในสายตาของ Google รวมถึงผู้ใช้งานนั่นเอง

สรุป Trend SEO 2025

ในปัจจุบันการแข่งขันบนโลกออนไลน์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกับการทำ SEO ที่ไม่เพียงแค่การใช้คีย์เวิร์ด หรือการสร้าง Backlinks เพียงเท่านั้น แต่ยังมีการเข้ามาของ AI ใหม่ๆ ที่เป็นตัวแปรสำคัญในการทำ SEO อีกด้วย ดังนั้นเพื่อให้เพื่อนๆ ได้เข้าใจภาพรวมของการทำ SEO ที่ดียิ่งขึ้น วันนี้ทาง Geekcon ได้ทำสรุปเทรนด์ที่น่าสนใจสำหรับการทำ SEO 2025 นี้มาฝากกันค่ะ

การทำ SEO ณ ปัจจุบันควรทำด้วยความเข้าใจถึงเจตนาของผู้ค้นหา และสร้างบทความหรือเนื้อหาที่เหมาะสม และรองรับความต้องการของผู้ใช้ รวมถึง AI ด้วยเราจึงสรุปออกเป็น 6 หัวข้อที่ควรโฟกัสของการทำ SEO 2025 ดังนี้

เป็นประเด็นใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ นั่นคือการมาของ AI Overview โดยทาง Google ได้นำเครื่องมือนี้เข้ามาเพื่อเป็นการรวบรวมข้อมูลจากสิ่งที่ผู้คนค้นหาด้วยคีย์เวิร์ด แล้วนำมาสรุปให้กระชับ มีความแม่นยำ ถูกต้อง และมีแหล่งอ้างอิงที่หน้าเชื่อถือได้ แสดงผลในหน้าแรกของ SERPs โดยที่เราไม่ต้องคลิกเข้าไปภายในเว็ปไซต์เลย (Zero-Click)

จากตัวอย่างรูปลองค้นหาคำว่า “seo คืออะไร” และดูสิ่งที่ Google แสดงผลลัพธ์ด้วย AI Overviews

E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) ยังคงเป็นเทคนิคที่ Google ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเนื่อหาที่เป็นความจริง ข้อมูลที่สดใหม่ มีแหล่งอ้างอิงที่มีความน่าเชื่อถือ หรือความคิดเห็นที่เป็นส่วนบุคคล สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้ Google เข้าใจว่าเว็ปไซต์ของเรามีคุณภาพมากในมุมของผู้ใช้ หรือ AI

Trend การทำ SEO ในปี 2025 อีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม นั่นคือการใช้ Search Intent เราควรที่จะต้องมีความเข้าใจถึงความต้องการจากผู้ใช้เป็นสิ่งสำคัญ และเพิ่มเนื้อหาที่มาตอบโจทย์ให้กับพวกเขาได้ ซึ่งการทำแบบนี้ก็จะเป็นการช่วยเพิ่มคุณค่าของเว็ปไซต์ และช่วยทำให้มีโอกาศในการทำอันดับเพิ่มสูงขึ้นด้วย อีกหนึ่งวิธีที่ควรทำร่วมกันกับ SEO ก็คือการทำ “Search Intent + Keyword” จะเป็นการช่วยทำให้เว็ปไซต์มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างการออกแบบ Search Intent ที่ดี Cr.https://www.topicfinder.com/search-intent-mapping/

นอกเหนือจากการสร้างเนื้อหาที่มีความสดใหม่ ไม่ซ้ำใครแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ Google แนะนำว่าไม่ควรมองข้ามนั่นคือ การ “ปรับปรุงคุณภาพเว็ปไซต์” โดยการปรับปรุงเว็ปไซต์ให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอจะเป็นการช่วยมองประสบการณ์การใช้งานที่ดีกับผู้ใช้งานได้ (UX) การตรวจสอบคุณภาพเว็ปไซต์ (Help Check) อย่าง Core Web Vitals ก็จะช่วยทำให้เรารู้ว่ายังมีสิ่งไหนที่ยังต้องปรับปรุงอีกบ้าง เพื่อที่เราจะได้แก้ไขให้ดีขึ้น อย่างเช่น Page speed, Duplicate Error ต่างๆ

*Core Web Vitals สามารถดูได้จาก Search Console ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการทำเว็ปไซต์ และ SEO อย่างมาก

ในปัจจุบันการทำ SEO โดยใช้แค่คีย์เวิร์ดที่เป็นคำสั้นๆ เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอแล้ว เพราะพฤติกรรมของผู้ค้นหาที่เปลี่ยนไป การค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่ยาวมากขึ้น เฉพาะเจาะจงมากขึ้นจึงเป็นเทรนด์ที่ไม่ควรมองข้าม ดังนั้นนักทำ SEO ในปี 2025 ควรที่จะต้องเปลี่ยนวิธีไปด้วย การใช้คีย์เวิร์ดที่ยาวขึ้น ก็จะสามารถช่วยเพิ่มเนื้อหาให้ครอบคลุม Intent ได้มากขึ้น

จากรูปตัวอย่างจะเห็นว่า ยิ่งมีการใช้คำที่ยาวขึ้น Search Volume จะยิ่งน้อยลงแต่กลับกับก็ยิ่งมีโอกาสในการเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น

เทรนด์ SEO ในปี 2025 ที่น่าสนใจก็คือ การทำ “Local Search และ Visual Search”

Local Search จะช่วยทำให้ Google เข้าใจและเข้าถึงธุรกิจในระดับบท้องถิ่นได้มากขึ้น นั่นหมายความว่าผู้คนหรือลูกค้าของคุณก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วยนั่นเอง การทำ Local Search ที่เราควรทำหลักๆเลยก็คือ “Google My Business” ซึ่งเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่ตอบโจทย์การสร้างการรับรู้และเข้าถึงธุรกิจของคุณอย่างง่ายที่สุด

Visual Search เป็นการสร้างสื่อ Media ต่างๆ อาทิ Video , Images โดยคำนึงถึงความเหมาสะมต่อการใช้งาน อย่างเช่นการทำบทความ 1 ตัวนอกจากมีเนื้อหาที่ครอบคลุมแล้ว ในบางครั้งก็ควรเพิ่มรูปภาพที่เกี่ยวข้อง หรือเพิ่มคลิปวิดีโอสั้นๆ เข้าไปเพื่อเพิ่มความหลากหลายต่อผู้อ่าน รวมถึง Google ด้วย แถมก็ยังเพิ่มโอกาสในการติด AI.Overviews หรือ SERPs Feature อีกด้วย

ส่งท้าย: การดูแลปรับปรุงพัฒนาเว็ปไซต์ให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องที่ Google ค่อนข้างให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก รวมถึงการทำ SEO ที่เน้นด้านคุณภาพของเนื้อหา และปัจจัยอื่นๆ เพราะหากทำได้ไม่ดีก็อาจโดนลดอันดับ และความน่าเชื่อถือของเว็ปไซต์ลงได้ และในส่วนของการมาของ AI.Overviews อาจะส่งผลกระทบกันค่อนข้างมาก แต่เชื่อว่าหากเราทำ SEO ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และไม่ทำผิดกฏของ Google ใดๆ ก็ไม่น่าเป็นกังวลค่ะ

แต่หากใครที่ไม่อยากเสียเวลากับการทำ SEO แบบไร้ทิศทางอยู่หล่ะก็ ไม่ต้องกังวลไปค่ะเพราะที่ Geekcon Valley เราบริการทำ SEO และ SEM ครบวงจร รวมถึงการวางแผนการวิเคราะห์ เจาะลึกกลยุทธ์ที่เหนือกว่าคู่แข่งด้วยเครื่องมือโซลูชันเฉพาะจาก Pi Datametrics สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ

SEO Vs SEM ต่างกันอย่างไร เลือกใช้แบบไหนดี

นักการตลาดดิจิทัลมือใหม่อาจจะยังมีความสงสัยว่า SEO กับ SEM มันแตกต่างกันอย่างไร แล้วเราต้องเลือกใช้แบบไหนถึงจะดีกับเรามากที่สุด วันนี้ Geekcon Valley จะมาอธิบายให้เพื่อนๆ ได้หายสงสัยกันค่ะ

SEO เป็นการปรับปรุงเว็ปไซต์ของเราให้มีติดผลการค้นหาในหน้าแรกๆ ของ Search engine อย่าง Google โดยที่เราสามารถทำได้เลยตั้งแต่เริ่มสร้างเว็ปไซต์ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่แพงมาก แต่ก็ต้องแลกกับระยะเวลาที่นานกว่าจะเริ่มเห็นผลถ้า เราทำได้อย่างถูกต้อง โดยทั่วไปแล้วระยะเวลาในการทำ SEO ที่เห็นผลลัพธ์ได้จะใช้เวลาราวๆ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยอย่างเช่น Keywords คุณภาของเนื้อหา และเว็ปไซต์ Backlinks และคู่แข่งเป็นต้นฯ

แต่หากเราทำ SEO ด้วยความถูกต้อง และเข้าใจอย่างสูงก็จะส่งผลดีในระยะยาวได้ อย่างเช่น อันดับบน Google ที่อยู่ในหน้าแรก ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ รายได้ที่เพิ่มขึ้นโดยมาจาก Organic Traffic นั่นเองค่ะ

SEM คือการทำการตลาดออนไลน์ด้วยการทำโฆษณา หรือที่เรารู้จักกันว่า “Google Ads” ค่ะ โดยการทำ SEM จะเป็นการจ่างเงินเพื่อซื้อพื้นที่ในการแสดงเว็ปไซต์บริการ หรือสินค้าที่เราวางขาย ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยอย่างเช่น คู่แข่งที่มีการแข่งขันสูงในธุรกิจนี้ หรือ Keyword ที่มีมูลค่าสูง ในรูปแบบ Cost per click (CPC) หรือ Pay per click (PPC)

ข้อดีของการทำ SEM จะสามารถวัดผลได้แม่นยำกว่าการทำ SEO และไม่ต้องใช้ระยะเวลานาน (แคมเปญโฆษณาสามารถทำงานได้ทันทีหลังจากเปิดใช้งาน) เหมาะกับสินค้าที่เร่งโปรโมทไวๆ หรือต้องการสร้างการรับรู้ของแบรนด์อย่างรวดเร็ว แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องแลกมากับ Budget ที่ต้องใช้ค่อนข้างสูงกว่า SEO เอามากๆ

มาถึงตรงนี้ถ้าเพื่อนๆ ยังไม่รู้ว่าควรจะเริ่มทำอะไรก่อนดี Geekcon จะบอกว่าสามารถทำควบคู่กันไปได้เลยค่ะ เพียงแค่ว่าถ้าเป็นในระยะแรกที่ยังอยู่ในขั้นตอนการสร้างเว็ปไซต์อยู่นั้น อาจจะยังไม่ต้องทำ SEM ก่อนค่ะ เพราะอย่างที่ได้อธิบายไปในตอนต้นแล้วว่า SEM คือการทำโฆษณาออนไลน์ ถ้าเรายังไม่มีหน้าเว็ปไซต์ หรือหน้าสินค้ามารองรับก็ไม่ควรยิงแอดในทันที เพราะ Google จะมองว่าเว็ปไซต์เรายังไม่ได้คุณภาพนั่นเอง

แต่หากเว็ปไซต์ทำมาสักระยะนึงแล้ว ก็ควรเสริมด้วยการทำทั้ง SEO+SEM ก็จะเป็นการช่วยส่งเสริมกันไปทั้งในมุมของการทำอับดับให้สูงขึ้น และยังสามารถสร้าง Conversion rate และเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าเราได้อีกด้วยค่ะ

สุดท้ายแล้วเครื่องมือในการทำการตลาดออนไลน์ทั้ง SEO และ SEM ก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแค่ว่าเราควรเลือกใช้เครื่องมืออย่างไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนั้นค่ะ แต่! สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี กลัวทำไม่ถูก กลัวเสียเวลา เสียรายได้โดยที่ไม่สามรถวัดผลอะไรกลับมาได้ ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะที่ Geekcon Valley เราบริการทำ SEO และ SEM ครบวงจร รวมถึงการวางแผนการวิเคราะห์ เจาะลึกกลยุทธ์ที่เหนือกว่าคู่แข่งด้วยเครื่องมือโซลูชันเฉพาะจาก Pi Datametrics สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ

6 สิ่งสำคัญกับการทำ SEO บนโลกออนไลน์?

หากพูดถึงการทำกลยุทธ์การตลาดในโลกออนไลน์ นอกเหนือจากการใช้สื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ อย่างเช่น Facebook , Youtube , Tiktok แล้วนั้น ยังมีกลยุทธ์อีกอย่างที่ควรให้ความสำคัญเพื่อทำให้ธุรกิจหรือองกรณ์ของเราขับเคลื่อนไปข้างหน้า และเป็นอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมนั้นๆ นั่นก็คือการทำ “SEO” แต่เพื่อนๆ รู้ถึงความสำคัญของการทำ SEO หรือไม่ โดยในวันนี้ Geekcon Valley จะมาบอกถึง 6 จุดสำคัญสำหรับการทำ SEO บนโลกออนไลน์ให้สามารภเข้าใจได้ง่ายๆ กันค่ะ

จะดีกว่าไหมหากเราสามารถทำเว็ปไซต์ให้มีคนเข้าชมได้ในปริมาณมากๆ แถมยังกลายมาเป็นลูกค้าเราอีกด้วย การทำ SEO เป็นคำตอบที่ดีที่สุดในระยะยาวค่ะ นั่นก็เพราะว่า SEO นั้นจะช่วยให้เว็ปไซต์ของเพื่อนๆ ติดอันดับในหน้าค้นหา (Search Engine) โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเสียเงินค่าโฆษณาเลย แล้วเมื่อเราติดอันดับที่สูงๆ ก็ยิ่งมีโอกาสเพิ่มคนเข้าเว็ปได้มากขึ้นด้วย เราเรียกสิ่งนี้ว่า “Organic Traffic” นั่นเอง

การทำ SEO ให้ติดหน้าแรกของ Google จะยิ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และเพิ่มความไว้วางใจให้คนค้นหา หรือลูกค้าของเราในอนาคตได้ เพราะมีคำนิยามไว่ว่า “เว็ปไซต์ที่ติดผลการค้นหาในหน้าแรก หรืออันดับต้นๆ เปรียบได้ดั่งเป็นเจ้าตลาดของอุตสาหกรรมนั้นๆ” ซึ่งจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์เราโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติมว่ากว่า 75% ของผู้ค้นหานั้นไม่เคยคลิกไปยังหน้าที่ 2 ของ Google เลย เพราะฉะนั้นการทำอันดับด้วย SEO เพื่อให้อยู่หน้าแรกจึงมีความสำคัญอย่างมากเลยทีเดียว

SEO นอกเหนือจากการทำอันดับหรือเพิ่ม Traffic แล้วนั้น SEO ยังช่วยจับพฤติกรรมของผู้ใช้งาน โดยการที่ผู้ใช้งานนั้นกำลังค้นหาอะไรอยู่ ซึ่งเราเองสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับใช้ในกลยุทธ์ของเราได้ อย่างเช่นการเปรียบเทียบข้อมูลสินค้า ราคา การค้นหาสถานที่หรือหน้าร้าน การค้นหาเพื่อตอบข้อสงสัย เป็นต้นฯ ซึ่งมีข้อมูลว่ากว่า 53% บอกว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคจะทำการค้นหาข้อมูลผ่านมือถือก่อนตัดสินใจซื้อ

ฟังหัวข้อแล้วอาจจะดูไม่น่าเชื่อถือ แต่มันมีโอกาสเป็นไปได้ค่ะ เหมือนคำกล่าวที่ว่า “เงินมันลอยอยู่ในอากาศ คุณจะสามารถคว้ามันมาได้หรือเปล่า” การตลาดของ SEO เองก็เช่นกัน ไม่ได้มีข้อจำกัดหรือผูกมัดตายตัว เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก SME หรือระดับองกรณ์ ก็สามารถวางกลยุทธ์ด้วย SEO ได้เหมือนกัน

แน่นอนว่าถ้าเพียงแค่ทำ SEO ให้ติดหน้าแรกของ Google และมี Organic Traffic เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียวก็คงจะไม่ใช่ เพราะการทำ SEO ที่ดีและมีมีคุณภาพนั้นยังจะช่วยเพิ่มยอดขาย และเพิ่ม Conversion ได้ดีขึ้นด้วย ด้วยการใช้ Keyword ที่ถูกต้องเหมาะสม ก็มีโอกาศเปลี่ยนจากผู้เข้าชมเว็ปไซต์ > ลูกค้า ได้นั่นเองค่ะ โดยมีข้อมูลว่า Conversion Rate ที่มาจาก SEO เฉลี่ยอู่ที่ 14.6% ซึ่งสูงกว่าการตลาดแบบ Outbound อยู่ที่ 1.7%

การทำ SEO ไม่เพียงแต่จะช่วยในเรื่องของการค้นหา แต่ยังช่วยปรับโครงสร้าง UX/UI , Page Speed , Security ของเว็ปไซต์ให้มีความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือ ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมของเว็ปไซต์ และ Google ด้วย โดยทาง Google เองก็ได้มีการเน้นย้ำว่า SEO คือการทำให้ ผู้เข้าชมและเครื่องมือค้นหา ได้รับประสบการณ์ที่ดีบนเว็ปไซต์ค่ะ

และนี่ก็คือ 6 เรื่องสำคัญว่าทำไมการทำ SEO จึงมีความสำคัญอย่างมากในการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ ซึ่งเพื่อนๆที่เป็นเจ้าของธุรกิจ และมีเว็ปไซต์กันอยู่แล้วสามารถนำเรื่องเหล่านี้ไปปรับพัฒนากันเอาเองตามความเหมาะสมได้ค่ะ แต่! สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี กลัวทำไม่ถูก กลัวเสียเวลา เสียรายได้ ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะที่ Geekcon Valley เราบริการทำ SEO ครบวงจร รวมถึงการวางแผนการวิเคราะห์ เจาะลึกกลยุทธ์ที่เหนือกว่าคู่แข่งด้วยเครื่องมือโซลูชันเฉพาะจาก Pi Datametrics สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ

SEO คืออะไร? มือใหม่เข้าใจง่ายๆ เริ่มที่นี่

SEO คืออะไร - Geekcon1

กลยุทธ์ที่มีความสำคัญอย่างมากในการทำการตลาดออนไลน์ในยุคปัจจุบันก็คือการทำ “SEO” ที่มีการแข่งขันที่สูงและมีความยากเป็นอย่างมาก หากเริ่มต้นแบบผิดวิธีก็อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นได้ แล้วเราควรจะเริ่มต้นอย่างไรดี? ในวันนี้ Geekcon Valley จะมาแชร์แนวทางปูพื้นฐานในการเริ่มต้นทำ SEO อย่างง่ายๆ ฉบับมือใหม่กันค่ะ

เรามาเริ่มต้นด้วยคำถามเบสิกเลยว่า “SEO คืออะไร” SEO เป็นคำย่อมาจากคำว่า “Search Engine Optimization” เป็นกระบวนการที่ช่วยให้เว็บไซต์ของเราปรากฏในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา (เราเรียกกันว่า SERPs : Search Enging Result Pages) อย่างเช่น Google, Bing หรือ Yahoo โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาใดๆ เลย

การทำ SEO ที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสการมองเห็น (Impression) และเพิ่มปริมาณการเข้าถึง (Clicks) จากการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณจากผู้ใช้ที่ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือบริการที่คุณนำเสนอนั่นเอง ยิ่งเราทำอันดับ (Ranking) ได้ดีมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่กล่าวมาได้มากขึ้นค่ะ

ในการทำ SEO มีองค์ประกอบอยู่หลากหลายส่วนด้วยกัน ซึ่งก็จะมีความยากง่ายต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวิธีการของผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO แต่สำหรับมือใหม่แล้ว Geekcon จะขอแนะนำองค์ประกอบเบื้องต้นที่ควรรู้จักดังต่อไปนี้

เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของการทำ SEO เลยทีเดียวนั่นก็คือ On-page ซึ่งเป็นวิธีการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ หรือ Contents ภายในเว็บไซต์ของเราเองให้ดูน่าสนใจ และตอบโจทย์กับผู้ค้นหาอย่างชัดเจนถูกต้อง อย่างเช่น

  1. การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องในเนื้อหา : เช่น เราจะเขียนบทความเรื่อง SEO ก็ควรที่จะต้องมี คีย์เวิร์ดคำว่า SEO และคีย์เวิร์ดอื่นที่เกี่ยวข้องด้วยเป็นต้นฯ
  2. ใช้ Title และ Meta Description ที่น่าสนใจ : Title เปรียบเสมือนหน้าร้าน หรือหน้าสินค้าของเรา ถ้าไม่น่าดึงดูดหรือมีความน่าสนใจก็ยากที่จะมีคนเข้าชมหรือเลือกซื้อ ในส่วนของ Description ก็คือคำอธิบายสรรพคุณอย่างสั้น กระชับเพื่อให้คนค้นหาสนใจและเข้าชมเว็บไซต์หรือสินค้าของเราค่ะ เพราะฉะนั้นต้องเขียนทั้งสองอย่างให้ดีที่สุดเพื่อที่จะได้เพิ่มความน่าสนใจนั่นเอง
  3. ใช้หัวข้อ (Heading Tags) อย่างถูกต้อง : ในเนื้อหาเราควรกำหนด และแบ่งหัวข้อออกอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่าน เข้าใจได้ง่าย โดยหัวข้อที่นิยมใช้จะเริ่มต้นด้วย H1 เสมอ ตามด้วย H2 , H3 สำหรับหัวข้อรองลงมาตามลำดับความสำคัญ
  4. การเพิ่มคำอธิบายภาพ (Alt Text) : การทำ SEO ที่ดี เราควรมีรูปภาพประกอบเนื้อหาด้วย และไม่ควรลืมที่จะใส่คำอธิบายไว้ในรูปภาพด้วยทุกครั้งก็คือ (Alt Text : Alternative Text) เพื่อที่จะทำให้ Robot ของ Search Engine เข้าใจว่ารูปภาพนี้คืออะไร เพราะหากเราไม่ได้ใส่ไว้เขาก็จะไม่รู้นั่นเอง (มีผลเกี่ยวข้องกับการติดอันดับของ SERP Feture ด้วยนะ)
  5. สร้างลิงก์ภายใน (Internal Links) : เป็นการสร้างลิงก์เพื่อเชื่อมโยงเนื้อหาภายในเว็บไซต์ ในกรณีที่เรามีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อให้คนที่เข้าชมเว็บไซต์สามารถไปยังเรื่องต่อไปได้ง่าย

เรื่องต่อมาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน และต้องวางแผนการทำให้ดีมากๆ เพราะมันเกี่ยวกับเว็บไซต์อื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่เว็บไซต์ของเรา การทำ Off-page คือการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ของเรามากขึ้น ช่วยเพิ่มลูกค้า หรือคนเข้าชมเว็บไซต์ ช่วยในเรื่องของการจัดอันดับบน Google หลักๆ ประกอบด้วยดังนี้

  1. สร้างลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks) จากเว็บไซต์อื่น : การสร้างลิงก์แบบนี้ให้อธิบายง่ายๆ ก็เหมือนกับเรากำลังประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จักเรานั่นเองค่ะ ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ เช่น Webboard , Guestpost หรือPBN (Private Blog Network แต่สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มต้นทำ SEO ด้วยตนเอง ตรงนี้ขอไม่แนะนำให้ลองเองก่อนนะ เพราะหากทำผิดพลาดขึ้นมาจะส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ในหลายๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการมองเห็น อันดับที่ลดลง หรือร้ายแรงสุดก็คือโดนลงโทษจาก Google (Google Penalty)
  2. การโปรโมตผ่านโซเชียลมีเดีย : จะมีความคล้ายกับการทำ Backlinks เพียงแต่ว่าการทำบน Social media จะเป็นลักษณะการโปรโมตที่ปลอดภัย และมีคุณภาพเฉพาะทางมากกว่า แต่ก็ควรเลือกโซเชียลที่เกี่ยวข้องกับเราด้วยนะ อย่างเช่น Facebook , Tiktok เป็นต้นฯ
  3. การแลกลิงก์ (Link Exchange) : เป็นการแลกเปลี่ยนลิงก์ซึ่งกันและกัน ซึ่งข้อดีก็คือเราได้เว็บไซต์ที่มีคุณภาพเข้ามาหาเรา และอีกฝ่ายก็ได้ด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้มีอันดับที่เพิ่มขึ้น

องค์ประกอบสุดท้ายที่อยากแนะนำก็คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ และรองรับ SEO มากที่สุด โดยหัวข้อนี้จะเกี่ยวข้องกับทาง Programer / Deverloper ที่สามารถแก้ไขปรับแต่งเว็บไซต์ได้นั่นเอง ซึ่งหลักๆ แล้วจะเกี่ยวข้องกับเรื่องต่อไปนี้

  1. ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ : ยิ่งเราสามารถปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีการใช้งานที่เร็วได้มากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผลดีต่อผู้ใช้ และ Google ด้วย
  2. ทำให้เว็บไซต์รองรับการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile-Friendly) : นอกจากความเร็วแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ Google เน้นให้ความสำคัญเลยก็คือ การรองรับอุปกรณ์มือถือ ซึ่งอิงจากพฤติกรรมการใช้งานที่เปลี่ยนไปของผู้คน หากเราออกแบบเว็บไซต์ที่ไม่ซัพพอร์ทเรื่องนี้ Google เองก็อาจจะลดความสำคัญของเว็บไซต์เราได้
  3. การใช้ SSL เพื่อความปลอดภัย (HTTPS : Hypertext Transfer Protocol Secure) : การใช้ Protocol นี้เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และช่วยทำให้ผู้ชมเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือเพิ่มมากขึ้น โดยในปัจจุบันการออกแบบเว็บส่วนมากจะเป็นระบบนี้กันอยู่แล้ว
  4. สร้างแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap.xml) และไฟล์ robots.txt : เรื่องนึงที่คนสร้างเว็บไซต์ควรทำก็คือการทำ Sitemap และ ไฟล์ robots เพื่อเป็นการบอกให้ Search Engine ทราบและเข้าถึงเนื้อหาได้ง่าย และไวขึ้น ส่งผลในเรื่องของการจัดทำดรรชนี (Indexing) ของเว็บไซต์
  5. ออกแบบโครงสร้างข้อมูล (Structured Data) และ UX/UI : เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น รวมถึงการออกแบบ UX/UI ที่ดีเพื่อทำให้เว็บไซต์ใช้งานได้ง่าย

สรุปส่งท้าย การเริ่มต้นทำ SEO สำหรับมือใหม่อาจมองเป็นเรื่องที่ดูยุ่งยาก และการวัดผลที่ใช้เวลานาน แต่หากค่อยๆ เริ่มศึกษาและลงมือทำทีละนิด และทำอย่างถูกต้องใจเย็นๆ ก็จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีได้เช่นกันค่ะ

แต่! หากไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรดี ที่ Geekcon Valley เรามีบริการทำ SEO ครบวงจร รวมถึงการวางแผนการวิเคราะห์ เจาะลึกกลยุทธ์ที่เหนือกว่าคู่แข่งด้วยเครื่องมือโซลูชันเฉพาะจาก Pi Datametrics สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ