กันยายน 19, 2025 | Geekcon Valley

SXO คืออะไร? ต่างจาก SEO ยังไง สำคัญแค่ไหนในปี 2025

ในโลกของการทำการตลาดออนไลน์ การทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้กันมานานหลายปี แต่เมื่อพฤติกรรมของผู้ใช้เปลี่ยนไป เทคโนโลยีของ Google ก็ต้องปรับเปลี่ยนตามอย่างเช่นการมาของ AI Overview หรือล่าสุดเทคโนโลยี MUVERA , GFM ที่ช่วยคัดกรองคำตอบได้ถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการทำ SEO แบบเดิมๆ อาจไม่เพียงพอในปัจจุบัน

เมื่อ SEO แบบเดิมเริ่มไม่ส่งผลลัพธ์ที่เพียงพอจึงเกิดแนวคิดในการทำ SEO ขึ้นมาใหม่โดยมีชื่อว่า “SXO” โดยในวันนี้ Geekcon Valley จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับแนวดคิดการทำ SXO แบบใหม่ที่จะมาช่วยทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคงกันค่ะ

SXO (Search Experience Optimization) เป็นกลยุทธ์รูปแบบใหม่ที่นำ SEO มาผสานเข้ากับประสบการณ์ของผู้ใช้ User Experience (UX) เพื่อเป็นการสร้าง “การมองเห็น” และ “ประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้” ซึ่งไม่เพียงแค่ทำให้เว็ปไซต์ของคุณติดหน้าแรกบน Google เท่านั้น แต่ยังสามารถเปลี่ยนจากผู้เข้าชม>เป็นลูกค้าจริงได้ หรืออธิบายให้เข้าใจแบบง่ายๆ คือ”ถ้าทำ SEO จะเจอเว็ปไซต์คุณ แต่ถ้าทำ SXO จะทำให้คุณได้ลูกค้า”

การทำ SXO คือการปรับปรุงเว็ปไซต์ทั้งหมด เช่น โครงสร้างเว็ปไซต์, ความเร็ว, ความเข้าใจเข้าถึงง่าย และคุณภาพของเนื้อหา เพื่อทำให้ผู้ใช้ได้รับคำตอบ หรือสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ถูกต้องและดีที่สุด

ข้อเปรียบเทียบSEOSXO
ป้าหมายหลักทำให้ติดอันดับ , เพิ่ม Trafficเพิ่ม Conversion , สร้างความพึงพอใจให้ผู้ใช้
MetricsRankings , CTR%Bounce Rate, Time on Page, Conversion Rate
ทำงานโดยKeywords , On-page , BacklinksUX/UI, Page Speed, Content Experience
ผลลัพธ์ที่จะได้ได้ผู้เข้าชม (Visitors) , Rankingsได้ลูกค้า (Loyal Customers)

“SEO อาจทำให้คุณได้อันดับที่ 1 แต่ถ้า UX แย่ ผู้ใช้ก็จะออกทันที ดังนั้น SXO จึงเป็น “ขั้นต่อไป” ของการทำตลาดออนไลน์Neil Patel

การทำ SXO มีองค์ประกอบที่สำคัญๆ ดังต่อไปนี้

  1. User Intents & High Quality Contents
    เว็ปไซต์จำเป็นต้องตอบโจทย์ในสิ่งที่ผู้ใช้ค้นหา ไม่ใช้เพียงแค่การใส่คีย์เวิร์ดลงไปเท่านั้น แต่เนื้อหาจะต้องตรงประเด็น กระชับ มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้ และต้องมาจากข้อมูลจริง ไม่ใช้หลักการเขียนที่ดูเอนเอียงไม่เป็นธรรมทางใดทางหนึ่ง
  2. UX/UI , SIte Speed
    เว็ปไซต์ต้องมีความเร็ว (โหลดเร็ว , เข้าถึงหน้าต่างๆ ได้ไว) ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อนจนเกินไป และต้องรองรับ Mobile-Friendly ด้วย เพราะในปัจจุบันกว่า 60% พฤติกรรมของผู้ใช้มักจะค้นหาข้อมูลผ่านมือถือมากกว่า Desktop
  3. Engagement Metrics
    ระยะเวลาที่ผู้ใช้อยู่ภายในหน้าเว็ปไซต์
    Bounce Rate ต่ำ (ถ้าสูงไปไม่ดี)
    Conversion Rate (เปลี่ยจากแค่ผู้ชมเป็นลูกค้า)
  4. Personalization & AI
    การใช้ AI ต่างๆ เพื่อทำให้ข้อมูลเป็นส่วนตัวมากขึ้น อย่างเช่นการสร้างเนื้อหาที่ตรงกับพฤติกรรมของผู้ใช้

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการทำ SXO เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้และ Google ได้มากที่สุด

การทำ SXO จะเป็นการปรับ SEO + UX ร่วมด้วยกันทั้งการปรับ Meta Tags (Title, Description) การเลือกใช้ Keywords หลัก แล้วเสริมด้วย Long-tail Keyword ที่เกี่ยวข้องก็จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีได้

ปรับปรุง Page speed และ Mobile Optimization ให้รวดเร็วเข้าถึงง่าย และรองรับบนมือถือจะช่วยให้เกิดประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้ได้มากขึ้น โดยทาง Google ก็เคยบอกไว้ว่าเว็ปไซต์ที่โหลดช้าก็จะสูญเสียอันดับและทราฟฟิกไปค่อนข้างสูง

ทำ A/B Testing เช่นการจัดวางปุ่ม CTA การออกแบบสีสันที่เหมาะสม หรือการจัดวาง Layout เพื่อทดสอบว่าผู้ชมสนใจส่วนไหนมากที่สุด แล้วนำมาใช้กับเว็ปไซต์ตัวเอง

เพราะอะไรเราถึงควรให้ความสำคัญกับการทำ SXO ในปี 2025

ส่งท้าย: ในปัจจุบันการทำ SEO เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ SXO จึงเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่จะเข้ามาช่วยทำให้ SEO มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะมันจะไม่เพียงแค่ทำอันดับเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้ใช้พึงพอใจ อยู่ภายในเว็ปไซต์นาน และเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนเป็นลูกค้าได้มากขึ้นด้วย