
ในโลกของการทำการตลาดออนไลน์ การทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้กันมานานหลายปี แต่เมื่อพฤติกรรมของผู้ใช้เปลี่ยนไป เทคโนโลยีของ Google ก็ต้องปรับเปลี่ยนตามอย่างเช่นการมาของ AI Overview หรือล่าสุดเทคโนโลยี MUVERA , GFM ที่ช่วยคัดกรองคำตอบได้ถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการทำ SEO แบบเดิมๆ อาจไม่เพียงพอในปัจจุบัน
เมื่อ SEO แบบเดิมเริ่มไม่ส่งผลลัพธ์ที่เพียงพอจึงเกิดแนวคิดในการทำ SEO ขึ้นมาใหม่โดยมีชื่อว่า “SXO” โดยในวันนี้ Geekcon Valley จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับแนวดคิดการทำ SXO แบบใหม่ที่จะมาช่วยทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคงกันค่ะ
SXO คืออะไร?
SXO (Search Experience Optimization) เป็นกลยุทธ์รูปแบบใหม่ที่นำ SEO มาผสานเข้ากับประสบการณ์ของผู้ใช้ User Experience (UX) เพื่อเป็นการสร้าง “การมองเห็น” และ “ประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้” ซึ่งไม่เพียงแค่ทำให้เว็ปไซต์ของคุณติดหน้าแรกบน Google เท่านั้น แต่ยังสามารถเปลี่ยนจากผู้เข้าชม>เป็นลูกค้าจริงได้ หรืออธิบายให้เข้าใจแบบง่ายๆ คือ”ถ้าทำ SEO จะเจอเว็ปไซต์คุณ แต่ถ้าทำ SXO จะทำให้คุณได้ลูกค้า”
การทำ SXO คือการปรับปรุงเว็ปไซต์ทั้งหมด เช่น โครงสร้างเว็ปไซต์, ความเร็ว, ความเข้าใจเข้าถึงง่าย และคุณภาพของเนื้อหา เพื่อทำให้ผู้ใช้ได้รับคำตอบ หรือสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ถูกต้องและดีที่สุด
SXO แตกต่างจาก SEO อย่างไร?
ข้อเปรียบเทียบ | SEO | SXO |
เป้าหมายหลัก | ทำให้ติดอันดับ , เพิ่ม Traffic | เพิ่ม Conversion , สร้างความพึงพอใจให้ผู้ใช้ |
Metrics | Rankings , CTR% | Bounce Rate, Time on Page, Conversion Rate |
ทำงานโดย | Keywords , On-page , Backlinks | UX/UI, Page Speed, Content Experience |
ผลลัพธ์ที่จะได้ | ได้ผู้เข้าชม (Visitors) , Rankings | ได้ลูกค้า (Loyal Customers) |
“SEO อาจทำให้คุณได้อันดับที่ 1 แต่ถ้า UX แย่ ผู้ใช้ก็จะออกทันที ดังนั้น SXO จึงเป็น “ขั้นต่อไป” ของการทำตลาดออนไลน์ – Neil Patel“
องค์ประกอบสำคัญของ SXO?
การทำ SXO มีองค์ประกอบที่สำคัญๆ ดังต่อไปนี้
- User Intents & High Quality Contents
เว็ปไซต์จำเป็นต้องตอบโจทย์ในสิ่งที่ผู้ใช้ค้นหา ไม่ใช้เพียงแค่การใส่คีย์เวิร์ดลงไปเท่านั้น แต่เนื้อหาจะต้องตรงประเด็น กระชับ มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้ และต้องมาจากข้อมูลจริง ไม่ใช้หลักการเขียนที่ดูเอนเอียงไม่เป็นธรรมทางใดทางหนึ่ง - UX/UI , SIte Speed
เว็ปไซต์ต้องมีความเร็ว (โหลดเร็ว , เข้าถึงหน้าต่างๆ ได้ไว) ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อนจนเกินไป และต้องรองรับ Mobile-Friendly ด้วย เพราะในปัจจุบันกว่า 60% พฤติกรรมของผู้ใช้มักจะค้นหาข้อมูลผ่านมือถือมากกว่า Desktop - Engagement Metrics
ระยะเวลาที่ผู้ใช้อยู่ภายในหน้าเว็ปไซต์
Bounce Rate ต่ำ (ถ้าสูงไปไม่ดี)
Conversion Rate (เปลี่ยจากแค่ผู้ชมเป็นลูกค้า) - Personalization & AI
การใช้ AI ต่างๆ เพื่อทำให้ข้อมูลเป็นส่วนตัวมากขึ้น อย่างเช่นการสร้างเนื้อหาที่ตรงกับพฤติกรรมของผู้ใช้
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการทำ SXO เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้และ Google ได้มากที่สุด
ตัวอย่างการนำ SXO ไปใช้จริง
การทำ SXO จะเป็นการปรับ SEO + UX ร่วมด้วยกันทั้งการปรับ Meta Tags (Title, Description) การเลือกใช้ Keywords หลัก แล้วเสริมด้วย Long-tail Keyword ที่เกี่ยวข้องก็จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีได้
ปรับปรุง Page speed และ Mobile Optimization ให้รวดเร็วเข้าถึงง่าย และรองรับบนมือถือจะช่วยให้เกิดประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้ได้มากขึ้น โดยทาง Google ก็เคยบอกไว้ว่าเว็ปไซต์ที่โหลดช้าก็จะสูญเสียอันดับและทราฟฟิกไปค่อนข้างสูง
ทำ A/B Testing เช่นการจัดวางปุ่ม CTA การออกแบบสีสันที่เหมาะสม หรือการจัดวาง Layout เพื่อทดสอบว่าผู้ชมสนใจส่วนไหนมากที่สุด แล้วนำมาใช้กับเว็ปไซต์ตัวเอง
ทำไม SXO ถึงสำคัญในปี 2025?
เพราะอะไรเราถึงควรให้ความสำคัญกับการทำ SXO ในปี 2025
- New AI Search & Zero-Click Search
ในช่วงปลายปี 2024 ที่ผ่านมา Google ได้เริ่มนำการแสดงผลรูปแบบใหม่เข้ามาใช้งานอย่าง AI Overviews ซึ่งทำให้ผู้ค้นหาสามารถได้รับคำตอบที่รวดเร็วและถูกต้อง โดยที่ไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปในเว็ปไซต์ การแสดงผลแบบนี้เรียกกันว่า Zero-Click โดยกว่า 50% ของการค้นหาบนมือถือจะไม่ได้คลิกไปยังเว็ปไซต์ ดังนั้นการออกแบบ UX จึงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ - Google ไม่ใช่เครื่องมือเดียว
ในปัจจุบันผู้ใช้งานไม่ได้ค้นหาสิ่งที่ต้องการผ่านทาง Google เพียงอย่างเดียว แต่ยังค้นหาจากหลายช่องทางอย่าง Youtube , TikTok , Instagram ซึ่งการทำ SXO ในจุดนี้ก็จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่หลากหลายและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ด้วย
ส่งท้าย: ในปัจจุบันการทำ SEO เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ SXO จึงเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่จะเข้ามาช่วยทำให้ SEO มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะมันจะไม่เพียงแค่ทำอันดับเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้ใช้พึงพอใจ อยู่ภายในเว็ปไซต์นาน และเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนเป็นลูกค้าได้มากขึ้นด้วย